DRY EYE
ในปัจจุบันด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ฝุ่นควันมากขึ้น หลายๆคนอาจจะเคยมีความรู้สึกว่าตามักจจะมีอาการเคืองตา คันตา แสบตา หรือในตอนที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ เล่นไอแพดนานๆก็มักจะต้องกระพริบตาบ่อยๆถึงจะสามารถกลับมาโฟกัสภาพให้ชัดได้ อาการเหล่านี้คืออาการของตาแห้งนั่นเอง
ตาแห้ง (dry eye) คือ ภาวะที่ตามีน้ำตามาหล่อเลี้ยงให้ความชุ่มชื้นหรือเคลือบกระจกตาในปริมาณที่ไม่เพียงพอ
ซึ่งน้ำตาจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น
⁃ ชั้นบนสุดเป็นชั้นไขมัน (Lipid layer) สร้างจากต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา (meibomian glands) ไขมันเหล่านี้ช่วยให้น้ำตาไม่ระเหยเร็วเกินไป
⁃ ชั้นกลางเป็นชั้นน้ำ (aqueous layer) สร้างมาจากต่อมน้ำตาบริเวณเยื่อบุตาและต่อมน้ำตาที่ใต้หางตา (lacrimal gland) ชั้นนี้มีทั้งน้ำ เกลือแร่ โปรตีน และเอนไซม์ ช่วยหล่อเลี้ยงกระจกตาและทำลายเชื้อโรคต่างๆ
⁃ ชั้นในเป็นชั้นเมือก (mucous layer) สร้างมาจากต่อมเมือกในเยื่อบุตา (globlet cells) เมือกเหล่านี้ช่วยให้น้ำตาเกาะกับผิวกระจกตา
https://www.refreshbrand.com/dryeye/tear-film
ตาแห้งจึงเกิดจาก 2 สาเหตุหลักๆ
1.น้ำตาผลิตได้น้อย เพราะมีปัญหาที่ต่อมน้ำตาหรืออื่นๆ
2.น้ำตาระเหยออกไปเร็ว เพราะ ความเสื่อมของต่อไขมันบริเวณเปลือกตาไมโบเมียน (meibomian gland dysfunction: MGD) ซึ่งเป็นต่อมที่อยู่ที่เปลือกตา ทำหน้าที่สร้างไขมันมาเคลือบเพื่อไม่ให้น้ำตาระเหย เมื่อเสื่อมลงทำให้ไขมันมาเคลือบไม่เพียงพอ ซึ่งส่วนมากจะเกิดในคนที่สูงอายุ
ตาแห้งสามารถเกิดได้กับทั้งเพศหญิงและ ชาย แต่อาจมีโอกาสเกิดในเพศหญิงมากกว่า เพราะอาการที่เกิดมีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตาเราแห้งหรือไม่
⁃ รู้สึกแสบตา เคืองตา เหมือนมีเศษผงในตา
⁃ มีเห็นภาพมัวแต่พอกระพริบตาเยอะๆแล้วดีขึ้น
⁃ บางคนมีตาแดงหรือคันตา
⁃ มีน้ำตาเอ่อคลอ
ปล. ซึ่งอาการที่มีน้ำตาเอ่อคลออาจจะดูแปลกว่าทำไมตาแห้งถึงมีน้ำตาเยอะจนเอ่อได้ แต่สาเหตุที่แท้จริงเพราะตาเราแห้งร่างกายจึงสั่งให้ผลิตน้ำตาเพิ่มนั่นเองค่ะ

https://www.medicalrepublic.com.au/dry-eyes-how-aware-are-you/52462
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่สามารถทำให้ตาแห้งได้อีก เช่น
⁃ คนที่ป่วยเป็น rheumatoid arthritis, Sjogren's syndrome, Thyroid, Lupus
⁃ อยู่ในสถาพแวดล้อมที่มีฝุ่นควัน ลมแรง หรืออากาศแห้ง
⁃ พฤติกรรมที่มีการกระพริบตาลดลงทำให้มีการกระตุ้นให้น้ำตาออกมาน้อย เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ หรือดูโทรทัศน์นานๆ ฯลฯ
⁃ การอักเสบของตาบางชนิดทำให้มีผลต่อการสร้างน้ำตา เช่น เปลือกตาอักเสบบ่อยๆ
⁃ ใส่คอนแทคเลนส์ (contact lens) เป็นเวลานาน ซึ่งคอนแทคเลนส์ที่มีส่วนทำให้ตาแห้งส่วนมากมักจะเป็นคอนแทคเลนส์ที่ทำจากวัสดุประเภท Hydrogel
⁃ คนที่เคยเข้ารับการทำ Lasik
⁃ ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น
การวินิจฉัยอาการตาแห้ง
⁃ การซักประวัติผู้ป่วย เช่น อาการ ประวัติสุขภาพ ประวัติการใช้ยา เป็นต้น เพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลให้เกิดภาวะตาแห้ง
⁃ การตรวจดูคุณภาพของน้ำตา โดยการใช้สีย้อมเพื่อตรวจสอบการติดสีบนกระจกตาและดูว่าน้ำตาระเหยเร็วมากน้อยแค่ไหน โดยย้อมสีกระจกตาด้วย Fluorescein โดยใช้ cobalt blue ร่วมกับ Yellow filter จะเห็นเป็นชั้นฟิล์มสีเขียว เริ่มจับเวลาตั้งแต่ให้ผู้ป่วยกระพริบตาครั้งสุดท้าย และห้ามกระพริบตาจนกระทั่งสังเกตเห็นจุดสีดำ ถ้าน้อยกว่า 10 วินาที ถือว่ามีภาวะตาแห้ง
⁃ การตรวจวัดปริมาณน้ำตา ด้วย Schirmer’s Test (ST) การตรวจ Schirmer’s test ซึ่งมีการใช้ยาชาร่วมด้วย และใช้แผ่นกรองเช็คน้ำตาวางตรงหางตาทั้งสองข้าง ให้ผู้ป่วยหลับตา 5 นาที ดูขนาดความยาวของแถบน้ำตาที่ซับได้ โดยค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 15- 25 mm. ใน 5 นาที แต่ถ้าได้ความยาวน้อยกว่า 5 mm. ใน 5 นาทีถือว่าตาแห้ง
⁃ การตรวจต่อมน้ำตาไมโบเมียนด้วยกล้องชนิดพิเศษที่เรียกว่า meibography เพื่อดูความเสียหายของต่อมน้ำตา
https://areaoftalmologica.com/en/terminos-de-oftalmologia/test-de-schirmer/
วิธีรักษาไม่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่คิด ส่วนมากการหยอดน้ำตาเทียมสามารถช่วยได้ และสามารถหยอดได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่แนะนำเป็นน้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสียแบบใช้วันต่อวัน ยาหยอดตาที่มีสารกันเสียจะมีอายุการใช้งานที่นานกว่า แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองดวงตาและสามารถหยอดได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อวัน
อีกวิธีคือการทำให้น้ำตาระบายน้อยลงโดยการใช้เป็นตัว silicone หรือ gel plugs อุดท่อน้ำตา เรียกว่า punctal plug และสามารถเอาออกได้เมื่อต้องการ หรือในบางรายแพทย์อาจจะพิจารณาการจี้ด้วยความร้อน (Thermal cautery) ซึ่งจะอุดท่อน้ำตาโดยถาวรเพื่อเย็บปิดท่อน้ำตาถาวร
นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาอื่นๆ
⁃ การทำความสะอาดเปลือกตาให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ปัดขนตา หรือแต่งหน้าทาตาเป็นประจำ
⁃ การประคบอุ่น (warm compress) อุณหภูมิประมาณ 41-43 องศาเซลเซียสเป็นประจำเช้า-เย็น เพื่อป้องกันการอุดตันของต่อมไขมัน
⁃ การนวดบริเวณเปลือกตา (Lid massage) ด้วยการกดรีดไขมันตามแนวการวางตัวของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตา
⁃ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดการเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ (Smart phone) และพักสายตาเป็นระยะๆ
และสำหรับคนที่อยากหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ทางเราแนะนำให้เลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีลมแรง อากาศแห้ง ควัน และฝุ่น ไม่นั่งตากพัดลมโดยตรง สวมแว่นตาป้องกัน เช่น แว่นกันแดดที่ปิดด้านข้างเพื่อป้องกันดวงตาจากลมหรืออากาศที่แห้งหลับตาหรือกระพริบตาบ่อย ๆ เมื่อต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ หรือทํากิจกรรมใด ๆ ที่ต้องเพ่งสายตา และไม่ใส่คอนแทคเลนส์นานเกิน 6-8 ชม./วัน และใน 1สัปดาห์ควรมีอย่างน้อย2วันที่พักการใส่คอนแทคเลนส์ หรือเปลี่ยนประเถทของคอนแทคเลนส์จาก Hydrogel เป็น Silicone Hydrogel และทำความสะอาดเปลือกตาเป็นประจำ